จากกระแสรักสุขภาพที่มาแรง เริ่มเห็นผู้คนหันมาดูแลใส่ใจกับตัวเองอย่างจริงจังมากขึ้น ทำให้ยอดขายสินค้าสุขภาพเลยพุ่งตามไปติดๆ ผักสด ผลไม้ปลอดสารพิษดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากขึ้นด้วย จนกลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจในฝันของใครหลายคนที่คิดเอาไว้ว่า วันหนึ่งอยากจะทำฟาร์มผักเล็กๆ ของตัวเอง โดยเฉพาะผักสลัดที่กำลังเป็นที่นิยมกันในขณะนี้ เพราะสามารถนำไปดัดแปลงเป็นเมนูได้หลากหลาย ที่สำคัญยังขายได้ราคาดีด้วย
ก่อนปลูกผักสลัดขายต้องรู้อะไรบ้าง
ผักสลัดที่นิยมปลูกและรับประทานกันมากในปัจจุบันมีอยู่ 6 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค คอส ฟิลเลย์ บัตเตอร์เฮด ปัตตาเวีย วิธีการที่นิยมใช้กัน คือ การปลูกแบบไฮโดรโปรนิกส์ หรือที่เรียกว่า การปลูกพืชไร้ดิน โดยใช้น้ำที่ผสมสารอาหารและแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อพืชหล่อเลี้ยงพืชให้เจริญเติบโต ซึ่งข้อดีของการปลูกพืชแบบไฮโดรโปรนิกส์ คือ ใช้เวลาในการเตรียมพื้นที่ปลูกน้อย หากเป็นดินต้องมีการเตรียมดินและกำจัดวัชพืช นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมการให้สารอาหารได้ดีและทั่วถึงกว่า ทำให้สามารถกำหนดขนาดของพืชให้เติบโตใกล้เคียงกันได้
ปัจจุบันการปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ สามารถนำมาประยุกต์ในการปลูกไทยได้ดีเช่นกัน และได้ผลผลิตที่เร็วกว่าปลูกโดยทั่วไป
ต้องลงทุนอะไรบ้าง?
ในการลงทุนปลูกผักสลัดไฮโดรโปรนิกส์ สิ่งที่ต้องลงทุนหลักๆ ได้แก่ ที่ดิน โรงเรือน แปลงปลูก อุปกรณ์การปลูกและเมล็ดพันธุ์ต่างๆ เริ่มต้นต้องมาสำรวจก่อนว่า เรามีต้นทุนอะไรอยู่บ้าง เช่น พื้นที่ปลูกเป็นอย่างไร เหมาะสมต่อการปลูกลักษณะใด ก่อนลงมือทำต้องมีการคำนวณคิดต้นทุนดีๆ ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และจะขายในลักษณะใด ผลผลิตที่คาดว่าจะทำได้ สามารถตอบโจทย์หรือครอบคลุมต่อค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหรือเปล่า มีกำไรเพียงพอให้สามารถทำธุรกิจได้หรือเปล่า
พื้นที่ปลูก
เป็นที่ดินของตัวเองหรือพื้นที่เช่า หรือพื้นว่างของอาคาร เช่น บนดาดฟ้าตึก มีทำเลที่ตั้งอยู่ที่ใด ใกล้กับเมืองหรือต่างจังหวัด ซึ่งพื้นที่ปลูกจะเป็นหนึ่งในปัจจัยกำหนดวิธีการปลูกที่เหมาะสม รวมถึงลักษณะการทำธุรกิจ เช่น หากมีพื้นที่เล็กๆ อยู่ในเมือง กลุ่มลูกค้าอาจเป็นลูกค้าปลีก หรือส่งร้านอาหาร พ่อค้าแม่ค้ารายเล็กๆ เป็นในลักษณะปลูกเองขายเองในละแวกใกล้เคียง หรือดัดแปลงเป็นสลัดส่งขาย หรือเปิดร้านอาหารเล็กๆ ก็ได้ จะทำให้ได้ราคาดีกว่าขายส่ง แต่หากมีพื้นที่กว้างอยู่ต่างจังหวัดหรือนอกเมืองไปไกลๆ อาจปลูกเพื่อขายในลักษณะขายส่งให้กับเจ้าประจำรายใหญ่ ซึ่งต้องการปริมาณผักที่มากและสม่ำเสมอ
โรงเรือนและแปลงปลูก
ควรเลือกในแบบที่สนใจ แต่ทั้งนี้ต้องดูเรื่องของสภาพพื้นที่ ขนาดที่ต้องการลงทุน และเงินทุนที่มีด้วย
• อุปกรณ์การปลูกและเมล็ดพันธุ์
1.อุปกรณ์ที่ใช้เพาะกล้า สามารถเลือกเป็นฟองน้ำ แกลบ หรือจะใช้เป็นเพอร์ไลท์ + เวอร์มิคูไลท์อย่างที่นิยมใช้ปลูกผักแบบไฮโดรโปรนิกส์ก็ได้ โดยเพอร์ไลท์จะเป็นก้อนเล็กๆ สีขาวไว้ช่วยยึดเกาะรากพืช ส่วนเวอร์มิคูไลท์จะเป็นก้อนแบนๆ มีสีน้ำตาลจะช่วยในเรื่องการอุ้มน้ำได้ดี
2.เมล็ดพันธุ์ มีให้เลือก 2 ชนิด คือ แบบเคลือบดินและไม่เคลือบ เมล็ดเคลือบราคาแพงกว่าหลายเท่าตัว เนื่องจากเชื่อว่ามีเปอร์เซ็นต์การงอกที่ดีกว่า
3.ปุ๋ยหรือแร่ธาตุสำคัญ ที่ใช้สำหรับปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์จะเรียกว่า ปุ๋ย A B แร่ธาตุในปุ๋ย A ประกอบด้วย แคลเซียมไนเตรท, เหล็ก ดีพี, เหล็ก โล ปุ๋ย B ประกอบด้วย โปแตสเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟต, โมโนโปแตสเซียมฟอสเฟส ซึ่งแต่ละตัวจะมีฤทธิ์ความเป็นกรดด่างต่างกัน เวลาใช้จึงต้องแยกผสมน้ำทีละตัว โดยเว้นระยะเวลาให้ห่างกันเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดตะกอน พืชไม่สามารถนำไปใช้ได้
"การเป็นเจ้าของฟาร์มไม่ใช่เรื่องยาก หากมีความพยายามที่จะศึกษา และรักที่จะทำ" ^^
Cr. Miss.Nim www.smethailandclub.com (ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอมอี)